ในปี 1897 Charles Dow ได้ทำการพัฒนาค่าเฉลี่ยแบบกว้างๆของตลาด ซึ่งได้แก่ “Industrial Average” ซึ่งประกอบด้วยหุ้น 12 ตัวที่เด่นในตลาด และค่า “Rail Average” ซึ่งประกอบไปด้วยบริษัทด้านรถไฟจำนวน 20 บริษัท ซึ่งในปัจจุบันสองค่าเฉลี่ยที่นาย Charles Dow คิดขึ้น รู้จักกันในชื่อ Dow Jones Industrial Average และ Dow Jones Transportation Average
ผลงานของ Dow Theory นั้นเกิดจากการตีพิมพ์ใน The Wall Street Journal ในช่วงปี 1900 ถึง 1902 โดย Dow Theory เป็นจุดกำเนิดของหลักการในการวิเคราะห์หุ้นเชิงเทคนิค(การใช้กราฟและเครื่องมือทางสถิติต่างในการวิเคราะห์หุ้น)ส่วนใหญ่ในปัจจุบัน
สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับ Dow Theory คือการสนใจแนวโน้มของตลาดหุ้นว่าเป็นอย่างไร โดยให้เป็นตัวบ่งบอกสภาพธุรกิจในปัจจุบัน โดยในยุคเริ่มต้นของ Dow Theory ไม่ได้สนใจการทำนายราคาหุ้นในอนาคต ถึงอย่างไรก็ตามการวิเคราะห์หุ้นเชิงเทคนิคก็ได้นำ Dow Theory มาประยุกต์ใช้กันอย่างกว้างขวาง
ความหมาย
Dow Theory ประกอบด้วยสมมุติฐาน 6 ข้อ
1. ค่าเฉลี่ยเป็นการบ่งบอกทุกสิ่งทุกอย่าง
โดยราคาหุ้นแต่ละตัวจะถูกสะท้อนจากสิ่งที่รู้เกี่ยวกับหุ้นตัวนั้นในปัจจุบัน เมื่อมีข้อมูลใหม่เข้ามา ตลาดก็จะทำการปรับเปลี่ยนราคาหุ้นตามข่าวสารที่เข้ามา โดยค่าเฉลี่ยตลาดจะมีการปรับและสะท้อนสิ่งที่รู้ทั้งหมดของหุ้นทุกตัว
2. ตลาดประกอบด้วย 3 แนวโน้ม
ซึ่ง ณ เวลาใดๆ ของตลาดหุ้น มี 3 แรงที่จะส่งผลต่อตลาดคือ
Primary Trend
Secondary Trend
Minor Trend
Primary Trend จะสามารถเกิดได้ทั้งในสภาวะ ตลาดกระทิง(ตลาดขาขึ้น) หรือตลาดหมี (ตลาดขาลง) โดย Primary Trend ปกติจะเกิดนานมากกว่าหนึ่งปี หรือบางทีอาจจะเกิดขึ้นหลายปีๆ ต่อเนื่องก็ได้ ถ้าตลาดเกิดค่าสูงสุดสูงขึ้นเรื่อยๆ และค่าต่ำสุดสุดมีค่าสูงขึ้นเรื่อยๆ เราจะระบุเป็น Primary Trend แบบขึ้น แต่ถ้าตาลาดทำค่าสูงสุดต่ำลงเรื่อยและค่าต่ำสุดต่ำลงเรื่อยๆ เราจะระบุเป็น Primary Trend แบบลง
Secondary Trend เป็นช่วงขั้นกลาง เป็นปฏิกิริยาในการปรับแก้ของ Primary Trend โดยช่วงนี้จะมีค่าอยู่ในช่วง 1 – 3 เดือน
3. Primary Trends มี 3 ขั้น
Dow Theory กล่าวว่า ในขั้นแรกจะเกิดจากการซื้ออย่างรุนแรงของนักลงทุนที่มีข้อมูลที่ดีพอซึ่งสามารถจับสัญญาณการพื้นตัวของธุรกิจและการเจริญเติบโตระยะยาว นักลงทุนที่มีข้อมูลที่ดีพอรับรู้ถึงการกลับตัวของราคาหุ้น จะทำการซื้อหุ้นอย่างมากจากผู้ขายที่ไม่คิดอะไรมากมาย
ในขั้นที่สองจะมีลักษณะที่เกิดการเพิ่มขึ้นของรายได้ของบริษัทและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น นักลงทุนจะเริ่มทำการสะสมหุ้นตามสถานะการณ์ที่ดีขึ้น
ในขั้นที่สามจะมีลักษณะที่มีการบันทึกการเพิ่มขึ้นของรายได้ของบริษัทและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจอยู่ในสภาวะดีที่สุด คนทั่วไปจะเริ่มเข้ามาในตลาดหุ้น ซึ่งคนทั่วไปจะเห็นว่าตลาดหุ้นเป็นสิ่งหอมหวานมากๆในการลงทุน ซึ่งจะทำการซื้อหุ้นอย่างมาก ซึ่งในขั้นนี้นักทุนส่วนน้อยที่เคยซื้อหุ้นไว้ในช่วงขั้นแรกจะทำทการขายหุ้นแล้วทำให้เริ่มเกิดการเปลี่ยนทิศทางมาเป็นขาลง
4. ค่าเฉลี่ยต้องการการยืนยัน
โดยค่าเฉลี่ย Industrial และ Transport จะต้องยืนยันซึ่งกันและกันเพื่อเป็นการยืนยันในการเปลี่ยนแนวโน้ม ค่าเฉลี่ยทั้งคู่จะสูงกว่าจุดยอดอันเก่าเพื่อเป็นการยืนยันในการเปลี่ยนแนวโน้ม
5. ปริมาณการซื้อขายจะเป็นการยืนยันการเปลี่ยนแนวโน้ม
Dow Theory จะเน้นพฤติกรรมของราคา ปริมาณการซื้อขายจะใช้เพียงการยืนยันสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนเท่านั้น ปริมาณการซื้อขายจะใช้ในการส่งต่อทิศทางของ Primary Trend ถ้า Primary Trend มีทิศทางลง ปริมาณการซื้อขายก็จะเพิ่มขึ้นในขณะที่ตลาดลดลง ถ้า primary trend มีทิศทางขึ้น ปริมาณการซื้อขายก็ควรจะเพิ่มขึ้นในขณะที่ปริมาณตลาดก็มีการเพิ่มขึ้นด้วย
6. แนวโน้มไม่มีการเปลี่ยนแปลงจนกระทั่งมีสัญญาณกลับตัว
แนวโน้มขาขึ้นจะประกอบด้วยกลุ่มของชุดราคาที่มีค่าสูงสุดสูงขึ้น และค่าต่ำสุดมีค่าสูงขึ้น ถ้ามีการกลับตัวของแนวโน้ม ราคาจะต้องมีอย่างน้อยหนึ่งอันที่มีค่าต่ำสุดสูงกว่าค่าต่ำสุดเดิม (เป็นสัญญาณกลับตัวของตลาดขาลง)
คุณสามารถติดตามข่าวสาร เครื่องมือต่างๆที่ใช้ในการวิเคราะห์หุ้น ข้อมูลหุ้นปันผล และข้อมูลอื่นๆอีกมากมายได้ที่ http://www.bidschart.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น