วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2558

สอนวิธีเล่นหุ้นให้รวย


1. ท่านควรเล่นหุ้นและวิเคราะห์หุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี คำว่าปัจจัยพื้นฐานดีหมายความว่า


1.1 หุ้นนั้นมีอนาคต คือ ทำธุรกิจและมีรายได้มากกว่าค่าใช้จ่าย ได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นกำไรสุทธิ
1.2 หุ้นที่มีกำไรสุทธิตามข้อ 1.1 นั้นจะจ่ายเงินปันผลได้ แต่ต้องระวังข้อ 1.3
1.3 ต้องใส่ใจดูว่าหุ้นนั้นมีขาดทุนสะสมหรือไม่ ในกรณีมีขาดทุนสะสม และเกิดกำไรสุทธิในปีปัจจุบัน แต่กำไรยังไม่มากพอ หุ้นนั้นก็ยังคงขาดทุนสะสมอยู่ ไม่สามารถจะจ่ายเงินปันผลได้
1.4 ยกตัวอย่างข้อ 1.3) หุ้นนั้นมีขาดทุนสะสม 100 ล้านบาท มีกำไรสุทธิในปีนี้ 20 ล้านบาท หุ้นนี้ยังมีขาดทุนสะสมอีก 80 ล้านบาท แต่การดูแค่นี้ไม่ได้หมายความว่า หุ้นนี้จะไม่น่าลงทุน และท่านยังต้องดูข้อ 1.5 ต่อ
1.5 หุ้นนี้มีส่วนเกินมูลค่าหุ้นหรือไม่ ส่วนเกินมูลค่าหุ้น คือ ตอนที่หุ้นนี้ถูกขายให้ประชาชนในราคา 30 บาท/หุ้น ในขณะที่มูลค่าที่กำหนดอยู่ที่ 10 บาท/หุ้น เกิดส่วนเกินมูลค่าหุ้น หุ้นละ 20 บาท จำนวนส่วนเกินมูลค่าหุ้นทั้งหมดนี้ท่านสามารถดูได้จากงบดุลตรงส่วนทุน หากดูแล้วปรากฏว่าเป็นตัวเลข 150 ล้านบาท งานนี้หุ้นจะวิ่งขึ้นพอสมควรครับ เพราะมีความหมายว่าขาดทุนสะสมจะหมดไปได้ หากบริษัทนั้นลงมติโดยที่ประชุมผู้ถือหุ้นให้นำส่วนเกินมูลค่าหุ้น 150 ล้านบาทนั้นมาล้างขาดทุนสะสมจำนวน 80 ล้านบาท
1.6 บริษัทเลยมีกำไรสะสมทันที 70 ล้านบาท สามารถจ่ายเงินปันผลได้ (การล้างขาดทุนสะสม ด้วยส่วนล้ำมูลค่าหุ้นเป็นไปตาม พ.ร.บ.บริษัทมหาชน)
1.7 นอกจากมีกำไรและไม่มีขาดทุนสะสมแล้ว หุ้นนั้นยังเติบโตได้เรื่อยๆ พูดง่ายๆ ก็คือ บริษัทสามารถขยายกิจการและสร้างรายได้ได้ต่อไป มีกำไรโดยตลอด นี่แหละหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี


2. ท่านควรเล่นหุ้นที่มีลักษณะของการทำธุรกิจแบบผูกขาด หรือเป็นผู้นำในตลาด… ดำเนินธุรกิจในตลาดแบบผูกขาด แบบผู้ขายน้อยราย แบบกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด ไม่ใช่ดำเนินธุรกิจในตลาดแข่งขันสมบูรณ์ เพราะหุ้นแบบที่กล่าวไปจะมีกำไรสุทธิต่อยอดขายสูง มีปันผลในอัตราสูง หรือหากปัจจุบันยังไม่มีเงินปันผล แต่หากในอนาคตไม่มีใครจะเข้ามาแข่งขัน (ผูกขาด) ก็หมายความว่าหุ้นนี้จะราคาสูง ถึงแม้ว่าจะได้ปันผลต่ำ แต่ในระยะยาวจะได้กำไรจากส่วนต่างของราคาหุ้น และจะได้ปันผลสูงในอนาคต อย่างเช่น PTT, PTTEP เป็นต้น


3. ถ้าเป็นผม ผมจะเล่นหุ้นที่เตรียมตัวจะทะยานขึ้น ผมมักจะเล่นหุ้นที่มีลักษณะตามข้อ 1) คืออาจจะขาดทุนแต่เริ่มกำไร จากกำไรแล้วเริ่มเติบโตอย่างมั่นคง หุ้นลักษณะแบบนี้จะราคาถูกในตอนต้น หากถือไว้จะได้กำไรจากส่วนต่างของราคาหุ้นเป็นอย่างมาก


4. นอกจากการเล็งหุ้นตามข้อ 3) ผมยังรู้ว่าหุ้นทุกตัวนั้นจะมีวงจรชีวิต ดังนั้นผมจะซื้อหุ้นตอนที่หุ้นฟื้นคืนชีพจากจุดต่ำสุด คือธุรกิจเริ่มฟื้นตัว มีกำไร แต่ยังขาดทุนสะสม หุ้นลักษณะนี้ราคาจะต่ำ เหมาะแก่การลงทุนในระยะกลาง …ท่านจะได้กำไรมาก


5. เนื่องจากจำนวนหุ้นมีมากมายหลายร้อยตัว ผมจึงเฝ้าดูการซื้อขายของหุ้นแต่ละตัวในทุกวัน โดยดูจากข้อมูลในหนังสือพิมพ์ หรือจากแหล่งอื่นใด ผมจะดูให้รู้ว่า มีใครแอบไปเก็บหุ้นเอาไว้ในหน้าตักของตัวเองบ้าง เพราะก่อนการขึ้นของราคาหุ้นจะมีไอ้โม่งมาแอบเก็บของเสมอ


6. จากข้อ 5) เมื่อผมเริ่มเอะใจกับหุ้นตัวใด ผมจะเข้าไป Print งบการเงินและสารสนเทศของบริษัทนั้นๆ ใน www.sec.or.th เอามาอ่านให้หนำใจ เพื่อที่จะได้จินตนาการโอกาสทางธุรกิจของหุ้นตัวนั้นออกว่า มีอนาคตหรือไม่อย่างไร


7. ขั้นตอนข้อ 6) จะทำให้ผมเกิดความรู้สึกว่าหุ้นนี้น่าซื้อหรือไม่อย่างไร และยังนำมาพิจารณาเทียบเคียงกับเหตุการณ์ในข้อ 5) ทำให้ผมมั่นใจในการตัดสินใจมากขึ้นอีกมาก


8. ก่อนจะไปในขั้นตอนต่อไป ผมคงบอกกับท่านว่า พอผมเอะใจว่ามีคนเก็บหุ้นตัวนี้ ผมจะเริ่มดูว่าหุ้นนี้มีใครเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่บ้าง รายย่อยถือจำนวนเท่าใด …งานนี้ผมต้องรู้ให้ได้ว่ารายใหญ่จะเก็บของกันวันละเท่าไร และเก็บนานกี่วัน …อย่างหุ้น 300 ล้านหุ้น หากมีรายย่อยถือ 30 ล้านหุ้น อาจมีปริมาณการซื้อขาย 2 ล้านหุ้น/วัน โดยที่ราคายังไม่เปลี่ยนแปลง โดยซึ่งปริมาณ 2.0 ล้านหุ้นที่ซื้อขายกันต่อวัน รายใหญ่อาจเก็บของ (หุ้น) ได้ประมาณซัก 30% ของ 2 ล้านหุ้น ท่านก็ลองคำนวณดูซิครับว่า จะต้องเก็บของกันกี่วัน ท่านเห็นว่ามีสัญญาณแบบนี้ ท่านก็กระโดดเข้าไปซื้อเลยครับ


9. การกระโดดเข้าไปซื้อเป็นเพราะ 1) มีสัญญาณการเก็บของชัดเลย + 2) หุ้นมีพื้นฐานดี + 3) หุ้นมีโอกาสกำไรสะสม + 4) หุ้นมีโอกาสปันผลสูง


10. หลังจากซื้อแล้ว รอเวลาให้หุ้นขึ้น แล้วขายในราคาที่ท่านพอใจ


11. ราคาหุ้นขึ้นเท่าไรจึงจะขายเป็นปัญหาของนักลงทุนทุกคน เพราะส่วนใหญ่มักจะขายเร็วไป หุ้นยังวิ่งขึ้นไปต่อ งานนี้ขอแนะนำให้ทดลองทวนกระแสนักวิเคราะห์หุ้นดู ถ้านักวิเคราะห์บอกว่าให้ขาย ลองไม่ขาย อาจจะรวยได้ แต่ถ้าขายก็อาจจะเจ็บใจนักวิเคราะห์ (สาเหตุเป็นเพราะ กราฟที่แสดงข้อมูลทางเทคนิค รายใหญ่สามารถสร้างได้ จะให้เป็นเส้นอะไร บอกสัญญาณอะไร เป็นเรื่องที่หมูเหลือเกิน)


จำเอาไว้ว่า หุ้นขึ้นได้เพราะมีคนบงการ สำหรับวิธีการเล่นหุ้นก็คงขอเขียนอธิบายเอาไว้เท่านี้


http://www.bidschart.com/

วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2558

เล่นหุ้นแบบนักเก็งกำไร


โดยที่ว่าการเล่นหุ้นแบบนักเก็งกำไรนั้นง่ายนิดเดียว คือให้ซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่าราคาที่ขายไปเท่านั้น เมื่อไหร่จะซื้อได้ราคาต่ำ และเมื่อไหร่จะขายได้ราคาที่สูงกว่า อันนี้ขึ้นอยู่กับว่าใครจะเลือกจังหวะเข้าซื้อ และจังหวะขายได้ถูกต้อง แม่นยำกว่ากัน

ซึ่งการเล่นแบบนักเก็งกำไรนั้น จะไม่สนใจราคาหุ้นที่จะซื้อว่า เท่าไร ราคาแค่ไหนก็ซื้อได้ เพราะจะดูจังหวะเวลาที่ซื้อหุ้นขายหุ้นให้ เหมาะเท่านั้น  โดยแต่ก่อนที่นักลงทุนนั้นมักอาศัยแค่ความรู้สึก และประสบการณ์ของตัวเอง คะเนเอาเอง ถ้ารู้สึกว่าหุ้นราคาจะขึ้นก็จะซื้อ ถ้ารู้สึกว่าหุ้นราคาจะลง ก็จะขาย เดี๋ยวนี้ก้าวหน้าขึ้น เครื่องคอมพิวเตอร์ก็มีราคาถูก การวิเคราะห์ทางเทคนิค (การนำกราฟและเครื่องมือทางสถิติต่างๆมาใช้ในการวิเคราะห์หุ้น) จึงเริ่มมีคนสนใจและแพร่หลาย บ้านเราก็ฮิตกันเมื่อ 2-3ปีมานี้เอง

โดยหลักการสำคัญของการวิเคราะห์ทางเทคนิค คือ สิ่งที่เคยเกิด ขึ้นในอดีตจะต้องเกิดขึ้นอีกในปัจจุบันและอนาคต หรือต้องเชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงราคาหุ้นที่เคยเกิดขึ้นแล้วในอดีตเป็นรูปแบบเช่นไร การเปลี่ยนแปลงราคาหุ้นในปัจจฺบันจะต้องเกิดในรูปแบบทำนองนั้นเสมอ

ทำไมหลักการที่ว่านี้จึงถูกต้อง ซึ่งมีนักวิเคราะห์ทางเทคนิค ต้นตำราหลายสิบคนได้พิสูจน์มาแล้วว่าเป็นจริงแล้ว

เหตุผลง่าย ๆ คือ เมื่อราคาหุ้นเป็นผลลัพธ์ของความต้องการซื้อและความต้องการขายของคน อารมณ์และความรู้สึกของนักเล่นหุ้น คือ ตัวแปรสำคัญที่ทำให้ราคาหุ้นเปลี่ยนแปลงไป

ซึ่งในสถานการณ์หนึ่ง จะทำให้นักเล่นหุ้นมีอารมณ์และความรู้สึกอย่างหนึ่ง ซึ่งสะท้อนออกมาในรูปของการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้น และปริมาณการซื้อขายหุ้น ถ้าลองจดระดับราคาไว้บนกระดาษกราฟ จะเห็นรูปแบบของการเปลี่ยนแปลงของราคาและปริมาณการซื้อขายในอดีต ซึ่งสะท้อนถึง สภาวะทางอารมณ์และความรู้สึกของนักเล่นหุ้นในขณะนั้นได้เป็นอย่างดี

โดยที่นักเล่นหุ้นเคยมีปฏิกริยาทางอารมณ์ต่อเหตุการณ์ในอดีตเช่นไร ก็ควรจะต้องมีปฏิกริยาทางอารมณ์ต่อเหตุการณ์ทำนองนั้นในปัจจุบัน และในอนาคตอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะคนก็คือคน แม้จะต่างเวลากัน ก็จะไม่ต่างกันมากนัก

ดังนั้นเมื่อเราเห็นรูปแบบของการเปลี่ยนแปลงราคาในอดีตว่า เป็นลักษณะใด ก็ควรสันนิษฐานต่อไปได้ว่า รูปแบบของการเปลี่ยน แปลงราคาในปัจจุบันและอนาคตควรจะอยู่ในลักษณะที่คล้ายคลึงกันนั้น

โดยการวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นการนำเอาเครื่องมือทางสถิติ การคำนวณและการเขียนภาพและกราฟ มาประกอบกันเพื่อแสดงถึงรูปแบบในอดีต แล้วนำเครื่องมือเหล่านั้นมาคำนวณเพื่อชี้ให้เห็นถึงความน่าจะเป็นของรูปแบบในอนาคต การวิเคราะห์ทางเทคนิค บอกจังหวะ เวลาที่เหมาะสมจะซื้อ จังหวะเวลาที่เหมาะสมจะขาย และจังหวะเวลา ใดที่ควรอยู่เฉย ๆไม่ซื้อไม่ขาย

ซึ่งหลาย ๆ เครื่องมือของการวิเคราะห์ทางเทคนิคจะบอกแนวทางกว้างๆให้ หลายๆเครื่องมือจะชี้เฉพาะอย่างชัดเจน และหลายๆ เครื่องมือจะบอกจังหวะเวลาที่แตกต่างกัน ความคุ้นเคย และประสบการณ์ของผู้ใช้เครื่องมือเท่านั้นจะทำให้การอ่านความหมายได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงที่สุด
 
 
 http://www.bidschart.com/
 

วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2558

หุ้นปันผล VS หุ้นเก็งกำไร



ถ้าหากพูดถึงการลงทุนในหุ้น เราอาจจะแบ่งคร่าวๆ ได้เป็นสองรูปแบบคือ หุ้นปันผล กับหุ้นเก็งกำไร

หุ้นปันผล เป็นทางเลือกหนึ่งในการลงทุนระยะยาว ที่ให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอต่อเนื่องเช่นเดียวกับการฝากเงินที่ธนาคารพาณิชย์ โดยผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นปันผล มักสูงกว่าการฝากเงินกับธนาคาร(ในช่วงที่ธนาคารดอกเบี้ยต่ำ) และสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อในระยะยาว รายได้จากเงินปันผลเป็นรายได้ที่เกิดจากการส่วนแบ่งกำไรของธุรกิจ ตราบใดที่ธุรกิจนั้นยังมีสุขภาพที่ดีและสามารถทำกำไรได้ ส่วนแบ่งในรูปเงินปันผลก็จะยังไหลเข้าสู่กระเป๋าของเราต่อไปไม่หยุด อย่างไรก็ตามการลงทุนในหุ้นปันผลต้องอาศัยระยะเวลา ไม่ใช่หนทางในการรวยเร็ว รวยง่าย รวยไว จึงเหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการความมั่นคง มีรายได้สม่ำเสมอ และเติบโตไปพร้อมกับบริษัท


หุ้นเก็งกำไร ซึ่งเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงแต่ก็ให้ผลตอบแทนที่สูง เน้นการเก็งกำไรระยะสั้น ๆ แต่ก็ มีโอกาสขาดทุนสูง หุ้นเก็งกำไรจึงเหมาะกับคนที่มีเวลาเฝ้าติดตามหุ้น และมีการตัดสินใจที่รวดเร็ว และเป็นผู้ที่สามารถคาดการณ์แนวโน้มตลาดหุ้นได้ดี มีความกล้าเสี่ยงสูง

แต่สำหรับนักลงทุนมือใหม่ ถ้ายังไม่รู้ว่าตัวเองเหมาะกับการลงทุนแบบไหน จะหุ้นปันผล หรือ จะหุ้นเก็งกำไรดี อาจลองแยกพอร์ตการเล่นหุ้นออกเป็นสองส่วน ส่วนแรก เล่นหุ้นแบบเก็งกำไร ส่วนที่สอง ลงทุนแบบถือระยะยาว เมื่อลงทุนไปสักระยะจะรู้ได้เองค่ะว่าเราเหมาะกับการลงทุนแนวไหน


www.bidscart.com

วันพุธที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2558

หุ้นปันผลและหุ้นเติบโต

บทความในวันนี้เราจะมาพูดกันเกี่ยวกับหุ้นปันผลและหุ้นเติบโต โดยเราจะยกเอาบทความที่น่าสนใจจากบทความนึงได้พูดถึงว่า "ทำไมการลงทุนในหุ้นเติบโตจะดีกว่าการลงทุนในหุ้นปันผลสำหรับนักลงทุนรุ่นเยาว์" เขียนโดย Financial Samurai โดยมีเนื้อหาที่พอจะสรุปใจความได้ดังนี้


นักลงทุนย่อยส่วนใหญ่มีความคิดว่า การลงทุนในหุ้นปันผลจะเป็นเเหล่งที่มาสำคัญของรายได้ประเภทที่ไม่ต้องทำงานซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้นักลงทุนที่สูงอายุมักจะเเสวงหาหุ้นประเภทนี้เพื่อเป็นเเหล่งรายได้ให้ตนเองในยามที่พวกเขาต้องเกษียณอายุการทำงานไปเเล้ว อย่างไรก็ตามเงินปัญผลที่ได้จากหุ้นปันผลนั้นอาจไม่ได้ห้อมหวานเเละน่าลงทุนอย่าที่หลายๆคนคิดกัน มีเหตุผลอยู่ 3 ข้อคือ


1. หุ้นปันผลให้ผลตอบเเทนที่ต่ำเกินไป

หุ้นปันผลมักจะให้เงินในอัตราที่ต่ำมากปกติน่าจะอยู่ในช่วง 2-3 % ดังนั้นนักลงทุนที่อยากได้เงินปัญผลจำนวนมากก็ต้องใช้เงินในการที่จะซื้อลงทุนในหุ้นปันผลเป็นจำนวนมากตามไปด้วยเพื่อให้ได้ผลตอบเเทนจำนวนมากพอที่จะสามารถนำไปเป็นส่วนหนึ่งของเงินที่ต้องใช้จ่ายประจำวันได้ เช่น อาจจะต้องลงทุนประมาณ 10ล้านบาท เพื่อให้ได้เงินปันผลประมาณ 3เเสนบาท ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวอาจเป็นรายได้ทั้งปีนั่นหมายถึง จะมีรายได้ให้ใช้จ่ายต่อเดิอนประมาณ 25000 บาทเท่านั้น

2. อย่าหวังว่าจะได้ เงินปันผล จากหุ้นปันผลเสมอไป

การลงทุนทุกชนิดมีความเสี่ยง กิจการของบริษัทที่มีหุ้นเป็นหุ้นปันผลก็เช่นเดียวกันบางปีอาจให้ผลตอบเเทนที่ไม่ดี เเละบางครั้งบริษัทนั้นก็อาจจะประเชิญกับวิกฤตเล้วก็ล้มละลายไปเลยก็เป็นได้ บริษัทอีสต์เเมนโกดักเป็นตัวอย่างหนึ่งที่ทำให้บรรดาผู้ถือหุ้นที่หวังพึ่งเงินปันผลของบริษัทนี้ต้องทรมานไปกับความหายนะที่เกิดกับธุรกิจของบริษัท
ซึ่งเหตุการณ์ของบริษัทนี้ก็คือรายได้ของบริษัท โกดัก สูงที่สุดในปี 2539 ซึ่งด้วยยอดขายเกือบ 16,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เเละได้กำไรสูงสูดในปี 2542 ที่จำนวน 2,500 ล้านดอลลาร์ เเต่หลังจากนั้น....ก็เกิดความล้มเหลวครั้งเเล้วครั้งเล่า จนทำให้คาดการณ์กันว่ายอดรายได้ของโกดักในปี 2554 จะเหลืออยู่เพียง 6,200 ล้านดอลลาร์ ไนไตรมาส 3 ปีเดียวกันนี้ซึ่งพบว่า โกดักขาดทนสูงถึง 222 ล้านดอลลาร์เเละขาดทุนตืดต่อกันมาเป็นไตรมาสที่ 9 เเล้ว ปัจจุบันโกดักได้ยื่นเอกสารขอล้มละลายตัวเอง

3. เงินที่เข้าไปลงทุนในหุ้นปันผล มักจะไม่สามารถถอนออกมาได้

ปกติิเงินที่จะใช้เข้าไปลงทุนในหุ้นปันผลนั้นมักจะเป็นเงินที่ไม่คิดว่าจะต้องถอนออกมาใช้ ในบางเวลาเมื่ออัตราการปันผลไม่เป็นไปอย่างที่คิดไว้ เมือ่เป็นเช่นนี้เเล้ว บางปีที่เงินปันผลลดน้อยลงกว่าทุกปีที่ผ่านมา ก็จะทำให้มีเงินไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวันน้อยลง ทำให้คุณภาพชีวิตพลอยเเย่ไปด้วย

ซึ่งดังนั้นเเล้วการลงทุนในหุ้นปันผลเพื่อรอรับเงินปันผลไปเรื่อยๆ นั่นก็ไม่ควรนำเงินไปลงทุนทั้งหมดเพราะอาจจะเสียโอกาสที่จะพบกับหุ้นหลายเด้ง ก็เป็นได้


ทำไม่บริษัทถึงจ่ายเงินปันผลดี

เหตุผลหลักของบริษัทที่มักจะจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูงก็คือ เหล่าบรรดาผู้บริหารของบริษัทเหล่านั้นไม่สามารถหาโอกาสในการลงทุนของเงินให้ได้ผลตอบเเทนในอัตราที่สูงได้ดังนั้น พวกเขาจึงคิดว่าสมควรที่จะนำเงินกำไรที่จะหาได้มาจ่ายออกมาเป็นเงินปันผลให้เเก่ผู้ถือหุ้นดีกว่า เช่น ถ้าบริษัทจ่ายปันผลออกมาประมาณ 3% ก็เเสดงว่าบริษัทไม่สามารถหาผลตอบเเทนได้ดีกว่า 3%
โดยขอยกตัวอย่างอีกหนึ่งบริษัทในสหรัฐอเมริกามีชื่อว่า เทสลา มอเตอร์ส ซึ่งเป็นบริษัทที่มุ่งเน้นการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า บริษัทนี้ไม่ได้จ่ายเงินปันผลออกมาเลยถึงเเม้ว่าบริษัทจะมีผลกำไรออกมาอย่างยอดเยี่ยมก็ตาม นับตั้งเเต่วันที่บริษัทเข้ามาจดทะเบียนเเละซื้อขายตลาดหุ้นเมื่อกลางปี 2553 ผ่านไปเพียง 3 ปีราคาหุ้นของบริษัทนี้เพิ่มขึ้นเป็น 5 เท่า จากราคาจองซื้อก่อนเข้าซื้อขายในตลาดหุ้น
บริษัท เอทีแอนด์ที บริษัทที่เป็นเจ้าของเครือข่ายโทรศัพท์มือถือที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา บริษัทนี้เป็นเจ้าของหุ้นปันผลชั้นดีบริษัทหนึ่งของอเมริกา เอทีแอนด์ทีมักจะจ่ายเงินปันผลอยู่ในอัตราประมาณ 5% แต่ว่าราคาหุ้นของเอทีแอนด์ทีกลับไม่ได้แสดงผลออกมาดีเท่าที่ควร ถ้าจะดูราคาหุ้นของเอทีแอนด์ทีแล้วพบว่าหากเปรี่ยบเทียบราคาหุ้นในช่วงเดียวกับ บริษัท เทสลา มอเตอร์สคือปี 2553-2556 พบว่าราคาหุ้นของเอทีแอนด์ทีได้ทะยานขึ้นมาเพียง 3% ขณะที่บริษัท เทสลา ราคาเพิ่มขึ้น 400%


สรุปก็คือถ้าหากเราลงทุนซื้อหุ้นของบริษัท เทสลาในปี 2553 ด้วยเงิน 1 ล้านบาท เมื่อถึงปี 2556 หุ้นที่เราถือจะมีมูลค่าถึง 5 ล้านบาทแต่ถ้าเลือกซื้อหุ้นของบริษัทเอทีแอนด์ทีในปี 2556 เป็นเงิน 1 ล้านบาทเช่นกันในปีเดียวกัน หุ้นเอทีแอนด์ทีที่เราถืออยู่จะมีมูลค่าเพียง 1.03 ล้านบาท(หนึ่งล้านสามหมื่นบาท) เห็นแบบนี้ท่านผู้อ่านที่อยากจะลงทุนกับบริษัทแบบไหนครับ



 http://www.bidschart.com/

วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2558

วิธีเอาชนะหุ้น



เล่นหุ้นลงทุนในหุ้นพูดไปแล้วไม่ใช่เรื่องยากอะไร เพียงพกเงินมาเข้าหาโบรกเกอร์เปิดพอร์ตเล่นหุ้นก็ซื้อขายหุ้นได้แล้ว แต่ที่หวังจะชนะตลาดและกำไรจากหุ้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ ๆ เพราะเท่าที่เห็นนักลงทุนผู้เล่นหุ้นส่วนใหญ่กลายเป็นแมงเม่าในตลาดหุ้นร้องกันระงม ส่วนพวกที่ประสบความสำเร็จก็มีบ้างแต่ก็เป็นเพียงส่วนน้อย การหวังชนะตลาดหุ้น เล่นหุ้นแล้วรวยคงไม่มีสูตรตายตัวแน่ แต่ก็มีกลยุทธ์แม่ไม้หลายขบวนท่าที่นักลงทุนนำมาวิเคราะห์หุ้น โดยหุ้นผู้เล่นหุ้นควรต้องศึกษาเพื่อนำมาใช้เป็นเกาะป้องกันตัวและเป็นเครื่องมือแสวงหาความสำเร็จต่อไป ณ ที่นี้ขอนำวิธีเล่นหุ้นเพื่อเอาชนะหุ้น ส่วนจะได้ผลมากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับท่านทั้งหลาย จะนำไปปรุงแต่งปรับเปลี่ยนกลยุทธ์สร้างแนวคิดต่อยอดค้นหาความสำเร็จกันต่อไป




1. อย่ากลัวกับเรื่องที่จะเสียเวลาต่อการไขว้คว้าหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องหุ้น


เพราะเรื่องราวของการลงทุนในตลาดหุ้นนั้นมีอะไรให้เรียนรู้มากมายหลายเรื่องไม่จบสิ้น การลงทุนในตลาดหุ้นก็เหมือนกับการทำธุรกิจบริหารบริษัทให้เกิดกำไรดังนั้นต้องรู้จักแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ เพิ่มเติมให้มาก ๆ



2. จงจดจำรายละเอียดเกี่ยวกับตัวหุ้น
กลุ่มผู้บริหาร การประกอบธุรกิจ ความเป็นมาเป็นไปของ บริษัททั้งอดีตและปัจจุบัน เพื่อเป็นการตอกย้ำความทรงจำต่อตัวหุ้นทุกแง่ทุกมุม



3. ต้องเข้าถึงข้อมูลทั้งเชิงลึกและตื้นเพื่อให้รู้เท่าทันถึงคุณค่าของตัวหุ้น
ในยุคสมัยนี้มีสิ่งใหม่ ๆ ที่เป็นตัวแปร เกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจธุรกรรมของบริษัทจดทะเบียนนั้นมีมากเหลือเกิน เช่น การเพิ่มทุน การลดทุน การออกวอแรนต์ การออกหุ้นกู้ การร่วมทุน ฯลฯ ดังนั้นเราจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องศึกษาในตัวหุ้นที่สนใจอย่างลึกซึ้งเพื่อเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องที่สุดให้ได้



4. ให้น้ำหนักที่จะซื้อหรือถือครองในตัวหุ้นที่มีอัตราการเติบโตที่ดีเท่านั้น เพราะหุ้นในกระดานมีให้เลือกมากมายหลายตัว จึงควรเปรียบเทียบประเมินถึงมูลค่าหุ้นแต่ละตัวโดยเฉพาะการพิจารณาถึงผลการดำเนินงานของหุ้นในอนาคตว่าจะมีอัตราการเติบโตเป็นเช่นใด และก็ควรเลือกหุ้นที่มีอัตราการเติบโตโดดเด่น เพื่อความสำเร็จต่อการลงทุนที่ดีของเรา


5. อย่าปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลในการตัดสินใจต่อการลงทุนทุกครั้งทุกรอบ เพราะการใช้อารมณ์ในการตัดสินลงทุนมักก่อให้เกิดความผิดพลาดได้เสมอ หลักในการลงทุนที่แท้จริงนั้นควรต้องใช้เหตุและผลเข้าอ้างอิงพิจารณาลงทุน ดังนั้นการใช้อารมณ์จึงไม่ใช่เครื่องมือที่นำมาตัดสินใจลงทุน


6. เมื่อมีปัญหาในการลงทุนควรใช้หลักแห่งความน่าจะเป็น
หรือความเป็นไปได้ในการตัดสินใจแก้ไขปัญหา เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นตามมาให้ได้


7. ในขณะที่แนวโน้มตลาดหุ้นทรุดตัวลง อย่าปล่อยให้เวลาผ่านพ้นไปโดยไม่แก้ไข หรือปรับปรุงพอร์ต เพราะนั่นเท่ากับว่าเรายอมพ่ายแพ้ต่อภาวะตลาดซึ่งจะทำให้เสียหายและแก้ไขยากเมื่อเวลาผ่านไปนานๆ


8. ควรตัดสินใจอย่างฉับพลันที่จะซื้อหรือขายหุ้นโดยทันที เมื่อมองเห็นหรือสามารถคาดการณ์ภาวะตลาดว่าจะไปในทิศทางไหน


9. มีขอบเขตในการปรับตัว พร้อมเปลี่ยนแปลงต่อภาวการณ์ลงทุนได้ทุกเมื่อ เพราะการปรับเปลี่ยนที่คล่องตัว ย่อมทำให้ได้เปรียบต่อการลงทุนอย่างยิ่ง


10. ห้ามโกหกตัวเองด้วยความคิดที่เข้าข้างตนเองเสมอ ทั้งที่ข้อมูลชี้ชัดว่าทิศทางแนวโน้มจะเป็นเช่นใด ราคาหุ้นเริ่มตอบสนองความเล วร้ายในแง่ปัจจัยกระทบ แต่ตัวเองกับมองว่าเดี๋ยวทุกอย่างคงคลี่คลายดีขึ้น เพราะตัวเองถือหุ้นอยู่ นั้นจะทำให้ท่านไม่สามารถค้นหาความจริงได้


11. อย่าคาดคั้นหาคำตอบในทางตรงกันข้ามกับความเป็นจริง เช่น ทำไมหุ้นตัวนี้ไม่ขึ้น หุ้นตัวนั้นไม่วิ่ง ทั้งที่ความจริงหุ้นตัวนั้น ๆ มีปัจจัยพื้นฐานแย่ เพราะอาจทำให้เราเกิดหลงทางได้


12. จงพยายามฝึกฝนตนเองเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นให้เกิดการเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอ ทั้งแง่การติดตามปัจจัยพื้นฐาน และปัจจัยทางด้านเทคนิค


13. ไม่ควรคาดหวังกับผลการลงทุนในเชิงบวกมากเกินไปนัก เพราะอาจทำให้ผิดหวัง จงจำไว้เสมอว่าการลงทุนในตลาดหุ้นความแน่นอนคือความไม่แน่นอนเพียงแต่ว่าเราควรหาวิธีลดความเสี่ยงในการลงทุนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว


14. ห้ามยึดติดกับการชักชวนหรือชี้นำของใครคนใดคนหนึ่งให้ซื้อหรือขายหุ้น โดยที่เราเองไม่ได้ไตร่ตรองเสียก่อน นั่นเท่ากับว่าเรานั้นไม่มีหลักคิดในการลงทุนเลยแม้แต่น้อยซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายตามมาได้


15. ซื่อสัตย์ต่อตนเองเสมอ โดยเฉพาะในเรื่องของหลักการลงทุน เราจะลงทุนในหุ้นโดยไม่ออกนอกกรอบกติกา เช่นไม่ไล่ซื้อหุ้นด้วยอารมณ์ ไม่ขายหุ้นเพราะคล้อยตามผู้อื่น ไม่ซื้อหุ้นเกินตัว ถ้าเราซื่อสัตย์ต่อตนเองต่อกติกา เราก็สามารถแสวงหากำไรและหลีกเลี่ยงความเสี่ยงได้ในระดับหนึ่งอย่างแน่นอน


16. ควรให้โอกาสตนเองเสมอในการแก้ไขข้อผิดพลาด เพราะการลงทุนย่อมเกิดความผิดพลาดได้ทุกเมื่อ ดังนั้นไม่ควรท้อแท้หรือเบื่อหน่ายตนเอง แต่ควรหาจุดแก้ไขข้อบกพร่อง ขจัดจุดอ่อน และแสวงหาจุดแข็ง เพื่อการลงทุนที่ถูกหลักถูกต้องต่อไป



17. อย่าทำตัวเป็นคนเก่งในตลาดหุ้นโดยไม่ยอมรับข้อมูลใด ๆ อย่าเชื่อมั่นตนเองจนเกินเลย เพราะอาจทำให้เราเวียนวนอยู่ในมุมอับของข้อมูล และจะไม่สามารถเข้าถึงสิ่งที่เป็นจริงเหนือความคิดของตนเองได้


18. จงแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ เปิดวิชั่นให้กว้างไกล อย่าสกัดกั้นตนเองในกรอบแคบ ๆ ควรรับรู้ข่าวสารข้อมูลให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และควรรู้จักประเมิน พิจารณาใช้วิจารณาณอย่างถูกต้องเพื่อการลงทุนที่จะได้มาซึ่งผลประโยชน์มากที่สุด


19. ต้องรู้จักการเรียนรู้ นึกถึงข้อดี ข้อเสีย ในการลงทุนทุก ๆ จุดที่ผ่านมา ค้นหาความได้เปรียบเสียเปรียบ เพื่อนำมาปรับปรุง ให้ได้จุดแข็งที่ดีที่สุดต่อการลงทุนในอนาคต


20. มีความรู้สึกที่ยินดี แสดงความดีใจกับเพื่อนนักลงทุนที่คุ้นเคยเมื่อพวกเขาเหล่านั้นสามารถทำกำไรจากตลาดหุ้นได้ และหลีกเลี่ยงการแสดงอาการหรือคำพูดที่ส่อเสียดก้าวร้าวกับเพื่อนนักลงทุน เพราะจะทำให้เรานั้นขาดมิตร และไร้เพื่อนคู่คิดต่อการลงทุนได้


21. อย่าปิดกั้นตนเองในการมองหุ้นหรือค้นหาหุ้นทั้งกระดานเพียงแค่คิดจะเล่นหุ้นอยู่ในกลุ่มไม่กี่หมวดกี่ตัวเท่านั้น เพราะหุ้นในกระดานกว่า 500 ตัว มีให้เลือกอย่ามองเพียงแค่หุ้นสองสามตัวที่คุ้นเคยเท่านั้นเอง



22. รู้จักที่จะมองหุ้นพิจารณาว่าซื้อหรือขายด้วยการทำการบ้าน ประเมินมูลค่าหุ้นมองทิศทางหุ้นด้วยตนเอง ซึ่งจะทำให้เรานั้นสามารถรู้ลึกรู้คุณค่าหุ้นที่เหมาะสมและลงทุนได้ถูกต้องถูกตัวในเวลาที่เหมาะสม


23. คิดถึงอนาคตเสมอ จะซื้อหุ้นควรมองมูลค่าหุ้นในอนาคต ควรคาดการณ์ผลการดำเนินงานในอนาคต เพราะราคาหุ้นนั้นจะเดินหน้าหรือถอยหลังคงขึ้นอยู่กับการดำเนินงานที่แท้จริงในอนาคตเท่านั้นเอง


24. ต้องรู้จักรักตัวเองให้มาก ๆ อย่างที่รู้ ๆ กันอยู่แล้วว่าการลงทุนนั้นมีความเสี่ยงสูง พลาดท่าเสียทีอาจจะเสียคนหมดอนาคตได้ ด้งนั้นการลงทุนทุกรอบทุกครั้งควรตระหนักพิจารณาอย่างถ้วนถี่หากมองแล้วมีโอกาสชนะมากกว่า 70 ถึง 80 เปอร์เซนต์ค่อยน่าสู้ จงคิดถึงตัวเองและรักตัวเองเสมอเพราะถ้าลงทุนแล้วผิดพลาดเราเองนั้นละที่จะเจ็บปวดสุด ๆ



http://www.bidschart.com/

วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2558

DOW THEORY



ในปี 1897 Charles Dow ได้ทำการพัฒนาค่าเฉลี่ยแบบกว้างๆของตลาด ซึ่งได้แก่ “Industrial Average” ซึ่งประกอบด้วยหุ้น 12 ตัวที่เด่นในตลาด และค่า “Rail Average” ซึ่งประกอบไปด้วยบริษัทด้านรถไฟจำนวน 20 บริษัท ซึ่งในปัจจุบันสองค่าเฉลี่ยที่นาย Charles Dow คิดขึ้น รู้จักกันในชื่อ Dow Jones Industrial Average และ Dow Jones Transportation Average

ผลงานของ Dow Theory นั้นเกิดจากการตีพิมพ์ใน The Wall Street Journal ในช่วงปี 1900 ถึง 1902 โดย Dow Theory เป็นจุดกำเนิดของหลักการในการวิเคราะห์หุ้นเชิงเทคนิค(การใช้กราฟและเครื่องมือทางสถิติต่างในการวิเคราะห์หุ้น)ส่วนใหญ่ในปัจจุบัน

 สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับ Dow Theory คือการสนใจแนวโน้มของตลาดหุ้นว่าเป็นอย่างไร โดยให้เป็นตัวบ่งบอกสภาพธุรกิจในปัจจุบัน โดยในยุคเริ่มต้นของ Dow Theory ไม่ได้สนใจการทำนายราคาหุ้นในอนาคต ถึงอย่างไรก็ตามการวิเคราะห์หุ้นเชิงเทคนิคก็ได้นำ Dow Theory มาประยุกต์ใช้กันอย่างกว้างขวาง

 

ความหมาย

Dow Theory ประกอบด้วยสมมุติฐาน 6 ข้อ
 
1. ค่าเฉลี่ยเป็นการบ่งบอกทุกสิ่งทุกอย่า
โดยราคาหุ้นแต่ละตัวจะถูกสะท้อนจากสิ่งที่รู้เกี่ยวกับหุ้นตัวนั้นในปัจจุบัน เมื่อมีข้อมูลใหม่เข้ามา ตลาดก็จะทำการปรับเปลี่ยนราคาหุ้นตามข่าวสารที่เข้ามา โดยค่าเฉลี่ยตลาดจะมีการปรับและสะท้อนสิ่งที่รู้ทั้งหมดของหุ้นทุกตัว

2. ตลาดประกอบด้วย 3 แนวโน้ม
ซึ่ง ณ เวลาใดๆ ของตลาดหุ้น มี 3 แรงที่จะส่งผลต่อตลาดคือ 
Primary Trend
Secondary Trend 
Minor Trend

Primary Trend จะสามารถเกิดได้ทั้งในสภาวะ ตลาดกระทิง(ตลาดขาขึ้น) หรือตลาดหมี (ตลาดขาลง) โดย Primary Trend ปกติจะเกิดนานมากกว่าหนึ่งปี หรือบางทีอาจจะเกิดขึ้นหลายปีๆ ต่อเนื่องก็ได้ ถ้าตลาดเกิดค่าสูงสุดสูงขึ้นเรื่อยๆ และค่าต่ำสุดสุดมีค่าสูงขึ้นเรื่อยๆ เราจะระบุเป็น Primary Trend แบบขึ้น แต่ถ้าตาลาดทำค่าสูงสุดต่ำลงเรื่อยและค่าต่ำสุดต่ำลงเรื่อยๆ เราจะระบุเป็น Primary Trend แบบลง

 Secondary Trend เป็นช่วงขั้นกลาง เป็นปฏิกิริยาในการปรับแก้ของ Primary Trend โดยช่วงนี้จะมีค่าอยู่ในช่วง 1 – 3 เดือน 

3. Primary Trends มี 3 ขั้น

Dow Theory กล่าวว่า ในขั้นแรกจะเกิดจากการซื้ออย่างรุนแรงของนักลงทุนที่มีข้อมูลที่ดีพอซึ่งสามารถจับสัญญาณการพื้นตัวของธุรกิจและการเจริญเติบโตระยะยาว นักลงทุนที่มีข้อมูลที่ดีพอรับรู้ถึงการกลับตัวของราคาหุ้น จะทำการซื้อหุ้นอย่างมากจากผู้ขายที่ไม่คิดอะไรมากมาย 

ในขั้นที่สองจะมีลักษณะที่เกิดการเพิ่มขึ้นของรายได้ของบริษัทและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น นักลงทุนจะเริ่มทำการสะสมหุ้นตามสถานะการณ์ที่ดีขึ้น

 ในขั้นที่สามจะมีลักษณะที่มีการบันทึกการเพิ่มขึ้นของรายได้ของบริษัทและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจอยู่ในสภาวะดีที่สุด คนทั่วไปจะเริ่มเข้ามาในตลาดหุ้น ซึ่งคนทั่วไปจะเห็นว่าตลาดหุ้นเป็นสิ่งหอมหวานมากๆในการลงทุน ซึ่งจะทำการซื้อหุ้นอย่างมาก ซึ่งในขั้นนี้นักทุนส่วนน้อยที่เคยซื้อหุ้นไว้ในช่วงขั้นแรกจะทำทการขายหุ้นแล้วทำให้เริ่มเกิดการเปลี่ยนทิศทางมาเป็นขาลง

4. ค่าเฉลี่ยต้องการการยืนยัน

โดยค่าเฉลี่ย Industrial และ Transport จะต้องยืนยันซึ่งกันและกันเพื่อเป็นการยืนยันในการเปลี่ยนแนวโน้ม ค่าเฉลี่ยทั้งคู่จะสูงกว่าจุดยอดอันเก่าเพื่อเป็นการยืนยันในการเปลี่ยนแนวโน้ม



 5. ปริมาณการซื้อขายจะเป็นการยืนยันการเปลี่ยนแนวโน้ม

Dow Theory จะเน้นพฤติกรรมของราคา ปริมาณการซื้อขายจะใช้เพียงการยืนยันสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนเท่านั้น ปริมาณการซื้อขายจะใช้ในการส่งต่อทิศทางของ Primary Trend ถ้า Primary Trend มีทิศทางลง ปริมาณการซื้อขายก็จะเพิ่มขึ้นในขณะที่ตลาดลดลง ถ้า primary trend มีทิศทางขึ้น ปริมาณการซื้อขายก็ควรจะเพิ่มขึ้นในขณะที่ปริมาณตลาดก็มีการเพิ่มขึ้นด้วย

 6. แนวโน้มไม่มีการเปลี่ยนแปลงจนกระทั่งมีสัญญาณกลับตัว
แนวโน้มขาขึ้นจะประกอบด้วยกลุ่มของชุดราคาที่มีค่าสูงสุดสูงขึ้น และค่าต่ำสุดมีค่าสูงขึ้น ถ้ามีการกลับตัวของแนวโน้ม ราคาจะต้องมีอย่างน้อยหนึ่งอันที่มีค่าต่ำสุดสูงกว่าค่าต่ำสุดเดิม (เป็นสัญญาณกลับตัวของตลาดขาลง)


คุณสามารถติดตามข่าวสาร เครื่องมือต่างๆที่ใช้ในการวิเคราะห์หุ้น ข้อมูลหุ้นปันผล และข้อมูลอื่นๆอีกมากมายได้ที่ http://www.bidschart.com/

วันอังคารที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2558

Performance Indicator


Performance  เป็นหนึ่งใน indicators ของการวิเคราะห์ทางเทคนิค(ใช้กราฟหุ้นหรือเครื่องมือทางสถิติต่างๆ )  โดยเป็นการแสดงความสามารถของราคาหุ้นในรูปแบบของเปอร์เซ็นต์ ในบางครั้งเรียกว่า กราฟ normalized

ความหมาย

โดยดัชนี Performance จะแสดงเปอร์เซ็นต์ที่ราคาหุ้นเพิ่มจากจุดแรกที่คิด ตัวอย่างเช่น ถ้า ดัชนี Performance มีค่าเท่ากับ 10 นั้นหมายความว่าราคาหุ้นจะมีการเพิ่มขึ้น 10% จากจุดแรกที่แสดงไว้บนกราฟ และในลักษณะเดียวกัน ถ้าค่าดัชนี performance มีค่าเท่ากับ -10% หมายความว่า ราคาหุ้นตกลง 10% จากจุดแรกที่เราพิจารณา

กราฟ performance สามารถช่วยในการเปรียบเทียบการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นจากหุ้นหลายตัวๆ พร้อมกันได้

การคำนวณ

ดัชนี Performance คำนวณการเปลี่ยนแปลงของราคาโดยใช้เทียบกับราคา ณ จุดแรกที่พิจารณา ซึ่งเป็นไปตามสมการดังต่อไปนี้


 http://www.bidschart.com/

วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2558

LINEAR REGRESSION LINES






Linear Regression เป็นหนึ่งใน indicators ของการวิเคราะห์ทางเทคนิค(ใช้กราฟหุ้นหรือเครื่องมือทางสถิติต่างๆ ) ใช้ทำนายราคาในอนาคตจากข้อมูลในอดีต สำหรับในกรณีของราคาหุ้น มักจะใช้ในการหาราคาหุ้นที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยเส้นแนวโน้มของ Linear Regression จะใช้วิธี least squares method โดยทำการสร้างเส้นตรงที่ลากผ่านจุดของราคาโดยทำให้มีระยะทางน้อยที่สุดจากราคาหุ้นกับเส้นแนวโน้ม


ความหมาย

ถ้าคุณต้องการที่จะทำการเดาราคาหุ้นพรุ่งนี้ ถ้าพิจารณาตามตรรกศาสตร์แล้ว ก็ควรจะตอบว่า ราคาควรจะใกล้ๆกับราคาวันนี้ แต่ถ้าราคาหุ้นมีแนวโน้มเพิ่ม มันคงจะดีกว่าถ้าเราบอกว่าราคาคงจะใกล้ๆกับวันนี้แต่อาจจะมากกว่านิดหน่อย การวิเคราะห์แบบ Linear Regression จะใช้การยืนยันทางสถิติตามตรรกะที่กล่าวไว้เบื้องต้น

เส้นแนวโน้มแบบ Linear Regression ซึ่งเป็นเส้นแนวโน้มแบบง่ายๆที่ทำการลากจากจุดสองจุดโดยใช้ วีธี least squares โดยเส้นแนวโน้มจะแสดงราคาตำแหน่งตรงกลางของราคาจริงๆ ถ้าคุณคิดว่าเส้นแนวโน้มเป็นจุดสมดุลของราคาการเคลื่อนที่ด้านบนหรือด้านล่างจะเป็นตำแหน่งที่บ่งบอกถึงพฤติกรรมของผู้ซื้อหรือผู้ขายได้

การใช้เส้นแนวโน้มแบบ Linear Regression ที่นิยมคือการสร้างแถบของเส้นที่สร้างมาจาก Linear Regression ซึ่งวิธีการนี้พัฒนาจาก Gibert Raff โดยแถบของเส้นเกิดจากการสร้างเส้นขนานสองเส้นซึ่งมีระยะห่างจากเส้นแนวโน้ม Linear Regression ด้านบนและด้านล่างเท่ากัน ระยะห่างระหว่างแถบกับเส้นแนวโน้มแบบ Linear Regression แสดงว่ามีราคาปิดบางอันลดออกไปจากเส้นแนวโน้มออกไป โดย แถบ Regression จะประกอบด้วยการเคลื่อนไหวของราคา โดยขอบล่างของแถบจะเป็นแนวรับและขอบบนจะเป็นแนวต้าน ราคาหุ้นบางครั้งอาจจะทะลุแถบออกไปเป็นช่วงเวลาสั้น แต่ถ้าราคาหลุดออกจากแถบไปนาน นั้นอาจจะเป็นสัญญาณกลับตัวก็ได้

ซึ่งเส้นแนวโน้มแบบ Linear Regression แสดงว่าค่ากลางของราคา ส่วนแถบ Linear Regression จะแสดงช่วงของราคาที่คาดหวังซึ่งคิดมาจากเส้นแนวโน้มแบบ Linear Regression  โดย Time Series Forecast Indicator นั้นจะแสดงข้อมูลในลักษณะเดียวกับเส้นแนวโน้ม Linear Regression

โดยค่าสุดท้ายของ Time Series Forcast นั้นจะมีค่าสุดท้ายเท่ากับเส้นแนวโน้มแบบ Linear Regression ตัวอย่างเช่น จุดสุดท้ายของเส้นแนวโน้ม Linear Regression ซึ่งคิดในช่วงเวลา 10 วัน จะมีค่าเดียวกับ ค่าของ Time Series Forcast แบบ 10 วัน


การคำนวณ


สูตรในการคิด Linear Regression


โดย



x = ช่วงเวลาในปัจจุบัน
n = จำนวนช่วงเวลา



http://www.bidschart.com/

วันพุธที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2558

COMMODITY SELECTION INDEX


Commodity Selection Index (“CSI”) เป็นหนึ่งใน indicators ของการวิเคราะห์ทางเทคนิค(ใช้กราฟหุ้นหรือเครื่องมือทางสถิติต่างๆ ) ซึ่งเป็นดัชนีแบบ momentum ซึ่งถูกพัฒนาโดย Welles Wilder โดยเขาได้เขียนเรื่องนี้ลงในหนังสือของเขาที่ชื่อ New Concepts in Technical Trading System ชื่อของ Index ตัวนี้ได้บ่งบอกถึงวัตถุประสงค์หลักของมันได้อย่างดี ซึ่งวัตถุประสงค์หลักของมันก็คือช่วยในการเลือกหุ้นในการลงทุนแบบสั้น


ความหมาย

ยิ่งค่า CSI สูงเท่าไรหมายความว่าหุ้นตัวนั้นมีแนวโน้มและการแกว่งตัวที่ชัดเจน โดยรูปแบบของแนวโน้มถูกวัดโดยใช้ Directional Movement Factor ในการคำนวณ ส่วนค่าการแกว่งตัวจะใช้ Average True Range Factor เป็นตัววัด


วิธีการของ Welles Wilder ในการเทรดคือเลือกค่า CSI มาก (เมื่อเทียบกับตัวอื่น) เพราะยิ่งหุ้นมีการแกว่งตัวมาก พวกมันก็จะมีความสามารถในการทำเงินในระยะสั้นได้


โดยค่า Commodity Selection Index ถูกออกแบบใช้การลงทุนระยะสั้น สำหรับคนที่รับความเสี่ยงในการลงทุนที่มีการแกว่งตัวของราคาค่อนข้างสูง



การคำนวณ


การคำนวณเรื่องนี้นั้นค่อนข้างที่จะซับซ้อน ซึ่งคุณสามารถหาอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากหนังสือชื่อ New Concepts in Technical Trading System



http://www.bidschart.com/

วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2558

Force Index - FRC



Force Index (FRC) เป็นหนึ่งใน indicators ของการวิเคราะห์ทางเทคนิค(ใช้กราฟหุ้นหรือเครื่องมือทางสถิติต่างๆ ) ที่ใช้ประเมินกำลังของตลาดขาขึ้นในทุกการขึ้นของราคา และประเมินกำลังของตลาดขาลงในทุกการตกต่ำของราคา ซึ่งเชื่อมต่อองค์ประกอบหลักของข้อมูลตลาด: แนวโน้มราคา การลดลงของราคา และปริมาณเทรด สามารถใช้ indicator นี้โดยอิสระ อย่างไรก็ตาม จะเป็นการดีกว่าถ้าสามารถปรับดัชนีให้เรียบขึ้นโดยใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เข้ามาช่วย จังหวะที่ดีที่สุดในการเปิดหรือปิดสถานะหาได้ง่ายโดยการใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะสั้น หากมีการปรับเรียบ (smoothing) โดยการใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะยาว (เช่น 13-period) ดัชนีสามารถบอกการเปลี่ยนแปลงของเทรนด์ได้


  • เข้าซื้อ เมื่อ Force Index เป็นค่าลบในระหว่างแนวโน้มขาขึ้น (ต่ำกว่าระดับศูนย์)
  • การทำจุดสูงสุดใหม่ indicator เตือนว่าแนวโน้มขาขึ้นยังคงดำเนินต่อไป
  • ทำการขาย เมื่อ Force Index เป็นค่าบวกในระหว่างแนวโน้มขาลง
  • การทำจุดต่ำสุดใหม่ Force Index เตือนเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของตลาดขาลงและความต่อเนื่องของตลาดขาลง
  • ในกรณีที่การเปลี่ยนแปลงราคาไม่ได้รองรับโดยการเปลี่ยนแปลงปริมาณเทรดในระดับเดียวกัน Force Index จะยังคงอยู่ในระดับเดิม และ นี่เป็นสัญญาณว่าแนวโน้มจะกลับตัวในไม่ช้า




การคำนวณ



กำลังของการเคลื่อนไหวในทุกตลาดสามารถกำหนดโดยทิศทาง สเกล และปริมาณเทรด
  • ถ้าหากราคาปิดของแท่งปัจจุบันสูงกว่าแท่งก่อนหน้ากำลังมีค่าเป็นบวก
  • ถ้าหากราคาปิดของแท่งปัจจุบันต่ำกว่าแท่งก่อนหน้ากำลังมีค่าเป็นลบ
  • หากความแตกต่างของราคายิ่งมีมาก กำลังยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ปริมาณเทรดยิ่งมากกำลังยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

FORCE INDEX (i) = VOLUME (i) * ((MA (ApPRICE, N, i) - MA (ApPRICE, N, i-1))


โดยที่:


FORCE INDEX (i) คือ Force Index ของแท่งราคาปัจจุบัน


VOLUME (i) คือ ปริมาณเทรดของแท่งราคาปัจจุบัน


MA (ApPRICE, N, i) คือ ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ใดๆของแท่งราคาปัจจุบันสำหรับ N period:


Simple, Exponential, Weighted หรือ Smoothed


ApPRICE คือราคาที่นำมาใช้


N คือ ระยะเวลาของการปรับเรียบ


MA (ApPRICE, N, i-1) คือ ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ใดๆของแท่งราคาก่อนหน้า




http://www.bidschart.com/