วันพุธที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

COMMODITY CHANNEL INDEX (CCI)




COMMODITY CHANNEL INDEX (CCI) เป็นหนึ่งใน indicator ของการวิเคราะห์ทางเทคนิค(ใช้กราฟหุ้นหรือเครื่องมือทางสถิติต่างๆในการวิเคราะห์ในการลงทุน) นั้นใช้ในการพิจารณาหาความแตกต่างของราคาหุ้นจากราคาเฉลี่ยในช่วงเวลาที่กำหนดขึ้น ว่ามีมากหรือน้อยเพียงไร ทั้งในขณะราคาเพิ่มสูงขึ้นหรือลดลง ช่วงเวลาที่กำหนดขึ้นนั้นส่วนใหญ่จะนิยมใช้คือ 10 วัน และ 14 วัน ดังนั้นเครื่องมือตัวนี้จึงเหมาะสมกับการวิเคราะห์ระยะกลางขึ้นไป แต่เทคนิคนี้สามารถนำมาประยุกต์ใช้สำหรับการวิเคราะห์ในระยะสั้น เช่น 5 วัน ได้เช่นกัน
หลักในการคำนวณ

การคำนวณหาค่า COMMODITY CHANNEL INDEX (CCI) มีสูตรดังต่อไปนี้
CCIt = (TPt - MAt) / (.015 *MD)

MD = Mean Deviation คือ  (MAt - P1) + (MAt - P2) +  (MAt - Pn) / n
n = ช่วงเวลา
TPt = (ราคาสูงสุด + ราคาต่ำสุด + ราคาปิด ณ วันปัจจุบัน) / 3
MAt =ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ตามเวลาที่กำหนด เช่น 10 วัน ฯ
Pi = ราคาปิดในวันย้อนหลัง i วัน


หลักการวิเคราะห์

CCI เป็นเครื่องมือวัดการแกว่งของราคา โดยรูปแบบที่ออกมาจะเป็นกราฟที่ส่วนใหญ่จะเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง -100 ถึง +100 (อาจปรับได้ตามความเหมาะสม ตัวอย่างเช่น BISNEWS จะมีช่วงอยู่ระหว่าง -200 ถึง +200) โดยมีค่า 0 เป็นแกนกลาง หรือค่ากลางซึ่งสามารถอภิปรายได้ว่า ณ ระดับราคา 0 แสดงว่า ราคาปัจจุบันไม่เปลี่ยนแปลงจากราคาในช่วงเวลาที่กำหนดในอดีต แต่ ณ ระดับที่มีค่าเป็นบวกหรือลบ แสดงถึงราคาในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น หรือลดลง จากราคาในอดีตโดยเฉลี่ย โดยเฉพาะถ้าการเปลี่ยนแปลงมีค่าเป็นบวก หรือลบมากขึ้นเท่าใด ยิ่งเป็นเครื่องชี้ชัดว่า การเปลี่ยนแปลงของราคาในปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงมากกว่า หรือน้อยกว่าในอดีตโดยเฉลี่ยมากขึ้นเท่านั้น

การวิเคราะห์ในระยะสั้น

  • ถ้าหากเส้นกราฟอยู่ในระดับที่สูงเกินกว่า +100 (+200) แสดงว่าระดับราคาได้เปลี่ยนแปลงสูงขึ้นมามากแล้วราคาจึงอาจจะมีการทรงตัว หรือระดับอาจจะลดลงได้ในช่วงต่อไป จึงเป็นสัญญาณให้ขาย
  • ถ้าหากเส้นกราฟอยู่ในระดับที่ต่ำเกินกว่า -100 (-200) แสดงว่าระดับราคาได้เปลี่ยนแปลงลดลงมามากแล้ว ราคาจึงอาจจะมีการทรงตัว หรือระดับราคาอาจจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นได้ในช่วงต่อไปจึงเป็นสัญญาให้ซื้อ
  • ถ้าหากเส้นกราฟตัดเส้นแกนกลางหรือค่ากลางที่เป็น 0 ขึ้นหรือลง อาจจะเป็นสัญญาณของราคาได้อีกด้วย โดยหากเส้นกราฟตัดเส้น 0 ขึ้นไป จะเป็นสัญญาณให้ซื้อ และหากเส้นกราฟตัดเส้น 0 ลงไป จะเป็นสัญญาให้ขาย


การวิเคราะห์ในระยะปานกลาง

  • ถ้าหากเส้นกราฟอยู่ในระดับที่สูงเกินกว่า +100 แสดงว่าระดับราคาได้เริ่มสูงขึ้น และมีแนวโน้มที่ราคาจะสูงขึ้นต่อไปอีกช่วงเวลาหนึ่งจึงเป็นสัญญาณให้ซื้อ
  • ถ้าหากเส้นกราฟอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า -100 แสดงว่าระดับราคาได้เริ่มต่ำลง และมีแนวโน้มที่ราคาจะลดลงต่อไปอีกช่วงเวลาหนึ่ง จึงเป็นสัญญาณให้ขาย





http://www.bidschart.com/

วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

RSI (Relative Strength Index)



RSI  (Relative Strength Index) เป็น indicator อีกตัวหนึ่งที่นิยมใช้อย่างมากสำหรับเทรดเดอร์สาย indicator ของนักลงทุนแนวเทคนิค (นักลงทุนที่ใช้กราฟหุ้นและเครื่องมือทางสถิติต่างๆ ช่วยในการวิเคราะห์ในการลงทุน) ซึ่ีง RSI ได้รับการพัฒนาโดย J. Welles Wilder เพราะเขามองว่า Momentum Indicator มีปัญหามากเกินไป (Momentum เป็น Indicator ตัวหนึ่ง)

          J Welles Wilder มองว่า Momentum มักจะมีปัญหาเรื่องของการนำค่าที่ผันผวนมากจนเกินไปมาคำนวณ เพราะเมื่อเวลาที่เกิดความผันผวนมากจนเกินไปนั้นมักส่งผลที่ค่อนข้างมากกับช่วงเวลากลังจากนั้น(อนาคต) และขอบเขตการประเมินกำลังของแนวโน้มก็ขาดความชัดเจน ด้วยเหตุผลในส่วนนี้เอง ทำให้ J Welles Wilder สร้าง RSI ออกมาใช้งาน

สูตรการคำนวณค่า RSI คือ 




จากสูตรของ RSI สังเกตได้ว่า ขอบเขตของ RSI นั้นจะวิ่งอยู่ในกรอบของ 0-100 เท่านั้น

**** บางกรณี RSI อาจจะมี Error คือไม่สามารถพลอทค่าได้ เช่น ในกรณี AVG/AVL = X/0 กรณีจะทำให้ค่าของ RS =infinity จึงไม่สามารถคำนวณค่าของ RSI ได้

          ทั้งโครงสร้างของสูตรนั้นมีตัวแปรเพียงตัวแปรเดียวนั้นก็คือค่า RS ซึ่งก็คือ อัตราส่วนของความกว้างของราคาที่เพิ่มขึ้นแบบ Exponential / อัตราส่วนของความกว้างของราคาที่ลดลงแบบ Exponential ค่าที่เรามักใช้กันมากในส่วนของ RSI ก็คือ RSI 14 ซึ่งเป็นค่าพื้นฐาน หรืออาจจะมีการปรับแต่งบ้างตามความพอใจของผู้ใช้งาน เช่น RSI 9 , RSI 17 

ในยุคเริ่มต้นที่มีการใช้งาน จะมีการแบ่งโซนเหมือน Stochastic  เพียงแต่ระยะขอบเขตจะแตกต่างกันออกไป โดยมีระยะของ 


Over Bought อยู่ที่  71 - 100 
Over Sold  อยู่ที่  0 - 30


รูปแบบสัญญาณซื้อของ RSI จึงใช้ในลักษณะของการตัดขึ้นของเส้น RSI จากเขต Over Sold Zone และสัญญาณขายมักจะใช้ในลักษณะของการตัดลงออกจากเขต Over Bought Zone เป็นหลัก



http://www.bidschart.com/

วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ข้อสรุปในการใช้เส้นค่าเฉลี่ย(MA)เคลื่อนที่เพื่อสังเกตแนวโน้ม(Trend)



            เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่(MA) เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญ ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค(การใช้กราฟหุ้นหรือเครื่องมือทางสถิติต่างๆ เช่น RSI , MACD , STO ฯลฯ )  โดยมีส่วนช่วยในการมองเห็นถึงแนวโน้ม(Trend)การเคลื่อนที่ของราคาหุ้น เราจะมาพูดถึง"ข้อสรุปในการใช้เส้นค่าเฉลี่ย(MA)เคลื่อนที่เพื่อสังเกตแนวโน้ม(Trend) " กัน

1. การใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ไม่มีข้อจำกัดที่ชัดเจนและตายตัวทั้งในส่วนของประเภทและระยะเวลา ขึ้นอยู่กับความถนัดของผู้ใช้งาน แต่เส้นค่าเฉลี่ยที่สั้นเกินไปอาจมีความผิดพลาดในการใช้งานสูง และเส้นค่าเฉลี่ยที่ยาวเกินไปจะมีปัญหาเรื่องการให้สัญญาณที่ล่าช้าเช่นกัน

2 ค่าที่นิยมใช้กับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ คือ

5     วัน เทียบเท่า 1 สัปดาห์
10   วัน เทียบเท่า 2 สัปดาห์
25   วัน เทียบเท่า 1 เดือน
50   วัน เทียบเท่า 2 เดือน
75   วัน เทียบเท่า 1 ไตรมาส
100 วัน เทียบเท่า 6 เดือน หรือ 2 ไตรมาส
200 วัน ประมาณ  1 ปี

     บางกลุ่มนิยมใช้ชุดตัวเลขจากลำดับอนุกรมฟิโบนาซี่ ได้แก่ 5-8-13-21-34-55-89-144-233 หรือบางกลุ่มอาจจะใช้ค่าตามตำราต่างประเทศ ได้แก่ 5-15-35-35-90-233 แต่ละค่าก็เหมาะกับนักลงทุนที่ชอบรอบระยะเวลาในการลงทุนแตกต่างกันออกไป ไล่เรียงกันตั้งแต่สั้นไปจนถึงยาว


http://www.bidschart.com/
 

วันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

คุณเป็นนักลงทุนประเภทไหน ?

          



          นักลงทุนทุกคนจะต้องทราบเกี่ยวกับตัวเองก่อนว่า ท่านเป็นนักลงทุนประเภทไหน เพื่อท่านจะได้นำไปวางแผนการลงทุนได้ถูกทาง โดยทั่วไปนักลงทุนจะแบ่งนักลงทุนออกเป็น 3 ประเภท คือ


นักลงทุนระยะสั้น เป็นนักลงทุนประเภทเก็งกำไรจากส่วนต่างของราคา นักลงทุนกลุ่มนี้จะใช้วิธีการวิเคราะห์ทางเทคนิค เช่น การใช้กราฟหุ้น หรือเครื่องมือทางสถิติต่างๆ ตัวอย่างเช่น RSI , MACD เป็นต้น และการวิเคราะห์มูลค่าการซื้อขายของหุ้น เป็นหลัก ทำให้พฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนกลุ่มนี้จะมีการซื้อขายเร็วและบ่อยครั้ง ไม่ถือหุ้นตัวใดตัวหนึ่งยาว จึงทำให้การกำหนดจุด Stop Loss (จุดตัดขาดทุน) ค่อนข้างเร็วมาก นักลงทุนกลุ่มนี้จะติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดหากเกิดการผิดพลาดหรือไม่เป็นไปตามที่วิเคราะห์ ก็จะ Stop Loss ทันที เช่น กำหนดตัดขาดทุน 3-4 เปอร์เซ็นต์


นักลงทุนระยะกลาง หรือนักลงทุนเล่นรอบ เป็นนักลงทุนที่ใช้ข้อมูลปัจจัยที่จะส่งผลดีต่อหุ้นในช่วงเวลานั้น เช่น ข่าวผลประกอบการ ข่าวรายได้ที่เพิ่มขึ้น การเติบโตของบริษัท หรือช่วงเวลาที่รายได้ของบริษัทจดทะเบียนเติบโตสูง นักลงทุนกลุ่มนี้ยังใช้ปัจจัยทางเทคนิคเข้ามาใช้ในการวิเคราะห์ เพื่อกำหนดจุดในการเข้าซื้อ-ขาย จึงทำให้พฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนกลุ่มนี้ซื้อขายหุ้นเป็นรอบๆ การกำหนดจุด Stop Loss ขอนักลงทุนกลุ่มนี้จะกำหนดจากแนวโน้มของธุรกิจ ระยะเวลาในการถือครอง หรืออาจใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค เส้นแนวรับ แนวต้าน เป็นตัวกำหนดในการซื้อขาย


นักลงทุนระยะยาว นักลงทุนกลุ่มนี้เป็นนักลงทุนที่ใช้การวิเคราะห์ทางปัจจัยพื้นฐานเป็นหลักในการตัดสินใจลงทุน นักลงทุนระยะยาวจะความสำคัญการเติบโตของกิจการ และเงินปันผล หากตัดสินใจลงทุนแล้วจะไม่สนใจการเคลื่อนไหวของราคา การกำหนดจุดซื้อหรือขาย นักลงทุนระยะยาวจะเป็นกลุ่มที่ตั้งรับ รอจนกว่าราคาหุ้นนั้นได้ระดับราคาที่ต้องการจึงเข้าซื้อ และ ขายเมื่อราคาหุ้นปรับตัวขึ้นเกินมูลค่าที่แท้จริง นักลงทุนกลุ่มนี้จะเน้นการวิเคราะห์แนวโน้มของธุรกิจเป็นหลัก และมีเป้าหมายการลงทุนในระยะยาว 10 ปี หรือมากกว่า


http://www.bidschart.com/

วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

หลัก 3 ประการของการเล่นหุ้นทางเทคนิค




                
               หลายคนยังคงเข้าใจผิดในการเล่นหุ้นแนวเทคนิค โดยคิดไปเองว่ากราฟสามารถบอกอนาคตได้ เราจึงยังคงได้ยินคำถามประเภทที่ว่า "หุ้นตัวนี้มันจะไปได้ไกลถึงไหน","หุ้นตัวนั้นจะร่วงไปและหยุดที่ราคาเท่าไหร่" ซึ่งจริงๆแล้วผู้ที่ตอบก็คงได้เพียงคาดการณ์จากการวิเคราะห์จากกราฟหุ้นเท่านั้น โดยกราฟเป็นเพียงตัวบอกถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งนักเล่นหุ้นแนวเทคนิคจะนำข้อมูลดังกล่าว ไปวิเคราะห์ต่อดดยการใช้เครื่องมือทางเทคนิคต่างๆ เช่น EMA(Exponential Moving Average), SMA(Simple Moving Average) , MACD (Moving Average Convergence & Divergence ), RSI (Relative Strength Index), STOCHASTIC(Stochastic Oscillator) เป็นต้น เพื่อการตัดสินใจในการซื้อ-ขายหุ้น

โดยวิเคราะห์แนวเทคนิคตั้งอยู่บนพื้นฐานหลัก 3 ข้อ คือ

1. ราคาของตลาดได้สะท้อนให้เห็นถึงข้อมูลที่มีความเกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว(The Market Discounts Everything) :
         หลักข้อที่หนึ่งของการเล่นหุ้นแนวเทคนิคตั้งอยู่บนความเชื่อที่ว่า ราคาที่เราเห็นนั้นเป็นผลลัพธ์จากข้อมุลทุกอย่างเกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ สังคม ผลกระทบจากสงคราม/ภัยพิบัติ ค่าเงิน การซื้อขายหุ้นของกลุ่มคนบางกลุ่ม ความโลภ/ความกังวลของนักลงทุน ข่าววงใน และข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

2. ราคาจะเคลื่อนไหวแบบมีแนวโน้ม(Prices Move in Trends) :
     ราคาที่เคลื่อนที่เป็นแนวโน้มนั้นมี 3 ลักษณะ คือ แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) แนวโน้มขาลง(Downtrend) และแนวโน้มแบบวิ่งออกด้านข้าง(Sideway) โดยราคาจะเคลื่อนไหวไปตามแนวโน้มใดแนวโน้มหนึ่ง

3. ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเสมอ (History Always Repeats Itself) :
          การวิเคราะห์แนวเทคนิคเชื่อว่า ราคาจะแสดงออกมาในรูปแบบที่ซ้ำเดิม โดยมองว่านักลงทุนมักจะมีพฤติกรรมในการซื้อ-ขายแบบเดิมๆ ดังนั้นในรูปแบบกราฟในปัจจุบันและอนาคตจึงมีโอกาสกลับมาคล้ายกับรูปแบบกราฟเดิมในอดีต


http://www.bidschart.com/

วันอังคารที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

MACD (Moving Average Convergence Divergence) คืออะไร ?

           
        MACD ( Moving Average Convergence Divergence) คือ กราฟหุ้นที่แสดงถึงความสัมพันธ์ของราคาเฉลี่ยใน 2 ช่วงเวลา ถูกพัฒนาขึ้นโดย Dr.Gereld Appel MACD นั้นถือได้ว่าเป็นดัชนีชี้วัดที่ง่ายที่สุดในการดู Momentum(ความแข็งแกร่งของการเคลื่อนที่ของราคาในทิศทางนั้น)
      ซึ่ง MACD นี้ในการใช้งานนั้นกราฟสามารถบอกแนวโน้มราคาที่เกิดขึ้น, บอก Momentum ของราคาหุ้น, บอกจุดซื้อ-จุดขาย ทั้งระยะกลางและระยะสั้น แต่ไม่สามารถบอกภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) และ ภาวะขายมากเกินไป (Oversold) ได้

 
                          Efin Smart Portal MACD indi. จะประกอบด้วย1. MACD Line 2. MACD Signal  3. MACD Histogram(ย่อว่า Hist.)
    

โดยวิธีการคำนวณหา MACD( Moving Average Convergence Divergence) นั้นสามารถอธิบายได้ตามข้อมูลที่จะกล่าวกันต่อไปนี้เลยครับ

1. เส้น MACD (สีเหลืองด้านล่าง) สูตร MACD = EMA (12) – EMA (26)
                  เมื่อ EMA (12) = Exponential Moving Average 12 วัน (สีแดงด้านบน)
                         EMA (26) = Exponential Moving Average 26 วัน (สีน้ำเงินด้านบน)

2. เส้น MACD Signal = EMA (9) ของ MACD Line คือ นำข้อมูลของ MACD Line มาหาค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบ Exponential จะได้เป็นเส้นสีฟ้าที่วิ่งคู่กับ MACD Line สีเหลืองในภาพ

3. MACD Histogram หรือ MACD Hist. = MACD Line – MACD Signal MACD Hist. ทำให้สังเกตว่า MACD Line มีค่ามากกว่าหรืออยู่เหนือ เส้น MACD Signal หรือไม่





http://www.bidschart.com/